Pg168-เว็บตรงบาคาร่า
Pg168-เว็บตรงบาคาร่า

เสือโคร่ง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รักในชีวิตสันโดษชอบออกล่าเหยื่อเพียงลำพัง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris จัดอยู่ในวงศ์ Felidae รูปร่างใกล้เคียงกับเสือโคร่งสายพันธุ์เบงกอล มีต้นกำเนิดจากเอเชียตะวันออก กระจายตัวอยู่ในเขตผืนป่าทั่วทวีปเอเชียและทางตะวันออกของรัสเซีย อาหารหลักที่กินคือเนื้อสัตว์ อาศัยอยู่ตามป่าทึบสลับกับทุ่งหญ้าโล่ง

มาทำความรู้จัก เสือโคร่ง สัตว์มีชีวิตที่รักสันโดษ

เสือโคร่งเป็นนักล่าอันดับสูงสุดในห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนที่พบเห็น ด้วยลักษณะภายนอกที่โดดเด่น มีลวดลายบนตัวและสีของลำตัวที่สวยงาม มีหลากหลายสายพันธุ์ ขนาดลำตัวกับน้ำหนักแต่ละพันธุ์จะมีความแตกต่างกัน เสือตัวเมียจะทำหน้าที่เลี้ยงลูก ส่วนเสือตัวผู้จะคอยปกป้องไม่ให้เสือตัวผู้อื่นๆ รุกล้ำอาณาเขต

อุปนิสัยและพฤติกรรมของ เสือโคร่ง ที่ควรรู้

เสือโคร่งสัตว์ที่มีชีวิตสันโดษ ยกเว้นแม่เสือที่มีลูกอ่อนที่ต้องคอยเลี้ยงดูและปกป้องลูกของตัวเอง เสือแต่ละตัวจะมีอาณาเขตอาศัยเป็นของตัวเอง จะอาศัยอยู่ในพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำหรือในบริเวณที่มีต้นไม้หนาแน่น โดยจะมีนิสัยกับพฤติกรรมอย่างไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย

เสือโคร่ง มีรูปลักษณะอย่างไร

เมื่อพูดถึงเสือโคร่งแล้ว เชื่อว่าหลายท่านคงเคยเห็นและรู้จักกันดี จะมีรูปร่างสง่างาม ลำตัวใหญ่น่าเกรงขาม มีลายพาดกลอนไม่เหมือนเสือชนิดอื่น ถ้ามองดูภายนอกแล้วจะมีรูปร่างใกล้เคียงกับเสือโคร่งสายพันธุ์เบงกอลที่สุด โดยมีรูปร่างดังต่อไปนี้

เสือโคร่งมีรูปลักษณะอย่างไร
  1. ลักษณะ : เสือตัวผู้มีลักษณะเด่นที่ขนที่หลังแก้มทั้งสองด้านซึ่งจะยาว บริเวณจมูกมีสีชมพู ลำตัวมีสีเหลืองแดงหรือสี บริเวณหน้าอก ส่วนท้องกับด้านในของขาทั้งสี่มีสีขาวครีม บางตัวอาจมีสีออกเหลือง ตากลมมีตาสีเหลือง หูจะสั้นกลม หลังหูมีสีดำ ขาหน้าจะบึกบึนแข็งแรง ปลายหางเรียวยาวประมาณครึ่งหนึ่งของลำตัว
  2. สีลำตัว : สีของลำตัวนั้นจะมีสีตั้งแต่โทนแดงส้มไปยังเหลืองปนน้ำตาล ส่วนด้านล่างมีสีขาว ลำตัวยังมีลายพาดผ่านมีสีดำกับเทาเข้ม
  3. เท้า : เท้าหน้าจะมีนิ้วอยู่ข้างละ 5 นิ้ว ส่วนเท้าหลังมีข้างละ 4 นิ้ว เล็บสามารถหดเก็บไว้ในอุ้งได้ ทำให้สามารถเดินได้อย่างเงียบกริบ อีกทั้งรอยเท้าจะไม่ปรากฏรอยเล็บ
  4. น้ำหนักกับขนาดความยาว : ขนาดกับน้ำหนักของแต่ละพันธุ์มีความแตกต่างกัน เช่น เสือไซบีเรียตัวผู้มีขนาดใหญ่มีความแข็งแรงที่สุด มีความยาวลำตัวเกิน 10 ฟุต หนักมากกว่า 300 กิโลกรัม
  5. ลายพาดกลอนของเสือโคร่ง : ลายพาดกลอนของเสือโคร่งแต่ละตัวมีความแตกต่างกันมาก จะไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่ตัวเดียว จุดสังเกตของแถบบนตัวเสือโคร่งคือ จำนวนแถบกับความกว้างของแถบ เสือโคร่งพันธุ์สุมาตรามีริ้วลายมากที่สุด ส่วนเสือโคร่งพันธุ์ไซบีเรียจะมีลายน้อยที่สุด
  6. อายุขัย : ถ้าตามสถานเพาะเลี้ยงจะมีอายุประมาณ 25 ปี ส่วนถ้าในตามธรรมชาติจะอายุสั้นกว่าประมาณ 10 ปีเท่านั้น แต่เคยมีบันทึกไว้ว่ามีเสือโคร่งสามารถมีอายุอยู่ได้ถึง 26 ปี [2]

สายพันธุ์ของเจ้า เสือโคร่ง กับเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการสืบพันธุ์

เสือโคร่งเรียกได้ว่านักล่าเหยื่อที่ชอบฉายเดี่ยวในทวีปเอเชียเสือโคร่งได้รับการยกย่องให้เป็นจ้าวป่า เช่นเดียวกับที่สิงโตที่ครองตำแหน่งเจ้าแห่งท้องทุ่งในทวีปแอฟริกา เสือจะมีชนิดพันธุ์ย่อยของเสือโคร่งอยู่หลายชนิด เสือตัวผู้กับตัวเมียจะมีน้ำหนักกับความยาวของลำตัวที่แตกต่างกัน เมื่อเสือโคร่งโตเต็มวัยทั้งคู่จะอยู่เพียงลำพังจนกว่าจะพร้อมผสมพันธุ์

ชนิดพันธุ์ย่อยของ เสือโคร่ง

เสือโคร่งจะแบ่งออกเป็นชนิดย่อยได้ 6 ชนิดย่อย โดยจะมีเขตที่กระจายพันธุ์ มีลักษณะรูปร่างและขนาดตัวกับน้ำหนักที่มีความต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละพันธุ์ ดังไปดังนี้

ชนิดพันธุ์ย่อยของเสือโคร่ง
  1. เสือโคร่งเบงกอล : บางครั้งอาจเรียกว่าเสือโคร่งอินเดีย เนื่องจากพวกมันส่วนใหญ่อยู่อาศัยในประเทศอินเดีย ส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่หากพื้นที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ เราก็สามารถพบเสือโคร่งอาศัยอยู่ร่วมกันได้จำนวนมาก ลำตัวของตัวผู้จะมีน้ำหนัก 180-258 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 2.7-3.1 เมตร ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 100-160 กิโลกรัม มีความยาว 2.4-2.65 เมตร
  2. เสือโคร่งไซบีเรีย : ถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันอยู่ในบริเวณผืนป่าที่หนาวเย็น ทางตะวันออกของรัสเซีย อาศัยในผืนป่าทางตอนเหนือที่แทบไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย มีพื้นที่มหาศาลที่ยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติ ตัวผู้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 180-306 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 2.7-3.3 เมตร ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 100-167 กิโลกรัม มีความยาว 2.4-2.75 เมตร
  3. เสือโคร่งอินโดจีน : สามารถพบเห็นได้ไม่ยากในพื้นที่ประเทศพม่า,ไทย, เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา, ทางตอนใต้ของจีน ชนิดพันธุ์นี้อยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์ โดยคาดว่าเหลืออยู่เพียง 300 ตัวตามธรรมชาติ ตัวผู้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 150-195 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 2.55-2.85 เมตร ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 100-130 กิโลกรัม มีความยาว 2.3-2.55 เมตร
  4. เสือโคร่งมลายู : ปัจจุบันคาดว่าเหลือเสือโคร่งมลายูราว 500 ตัว ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรมลายู บริเวณประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย มีลักษณะคล้ายคลึงกับเสือโคร่งอินโดจีนทั้งสี, ลวดลาย รวมถึงสัณฐานของกะโหลก ตัวผู้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 120 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 100 กิโลกรัม
  5. เสือโคร่งสุมาตรา : จากการสำรวจ พบว่าอาศัยอยู่บนเกาะสุมาตราได้ราว 1,000 ตัว แต่ในปัจจุบัน คาดว่ามีเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากการล่าที่รุนแรงมากขึ้น รวมไปถึงอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันที่บุกทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยนั่นเอง ตัวผู้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 100-140 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 2.2-2.55 เมตร ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 75-110 กิโลกรัม มีความยาว 2.15-2.3 เมตร
  6. เสือโคร่งจีนใต้ : อาจเรียกได้ว่าเวลาของเสือโคร่งจีนใต้ได้หมดลงแล้ว เพราะนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 ก็ไม่มีใครสามารถบันทึกเสือพันธุ์นี้นตามธรรมชาติได้อีก แม้ว่าอาจจะมีหลงเหลืออยู่ไม่มากนัก คาดว่าชนิดพันธุ์ย่อยนี้อาจสูญพันธุ์จากธรรมชาติไปแล้ว โดยตัวผู้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 130-175 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 2.3-2.65 เมตร ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 100-115 กิโลกรัม มีความยาว 2.2-2.4 เมตร

เสือโคร่งส่วนใหญ่จะออกมาในตอนกลางคืน เว้นแต่เสือไซบีเรียที่จะออกมาในช่วงกลางวันของฤดูหนาว จะล่าเหยื่อโดยการค่อยๆเข้าใกล้เหยื่อ จากนั้นจู่โจมเข้าทางด้านข้างหรือด้านหลังนั่นเอง [3]

การสืบพันธุ์ของ เสือโคร่ง

เสือโคร่งเมื่อโตเต็มวัยแล้ว เสือทั้งตัวผู้และตัวเมียจะอาศัยอยู่เพียงลำพัง จนกระทั่งถึงเวลาที่พร้อมจะผสมพันธุ์ ถึงจะค่อยๆออกมาหาคู่

การที่เสือโคร่งจะเลี้ยงลูกได้ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับอาหารด้วย จะเฉลี่ยใน 1 ปี จะกินเนื้อประมาณ 3,000 กิโลกรัมต่อ 1 ตัว การเลี้ยงลูก 2-3 ตัว ต้องมีเนื้อถึง 4,000 กิโลกรัมต่อปี ลูกๆถึงจะมีชีวิตรอด อีกทั้งจะเห็นได้ว่าชนิดพันธุ์ย่อยแต่ละพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็ยังคงเหลืออยู่จำนวนมาก แต่บางสายพันธุ์ก็อาจสูญพันธุ์จากธรรมชาติไปแล้ว [4]

สรุป เสือโคร่ง นักล่าเหยื่อฉายเดี่ยวที่ชอบใช้ชีวิตสันโดษ

เสือโคร่ง นักล่าเหยื่อโดยใช้ประสาทสัมผัสทางตาและการฟังเสียงชอบฉายเดี่ยวเพื่อออกล่าเหยื่อ ชอบกินหมูป่ากับกวางมากที่สุดสังหารเหยื่อโดยกัดที่ลำคอหรือบริเวณด้านหลังของส่วนหัว อีกทั้งเสือแต่ละตัวจะมีอาณาเขตอาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งอาณาเขตจะอยู่ไม่ไกลกันมากนัก เสือโคร่งบางตัวอาจมีพฤติกรรมเข้าสังคมได้อีกด้วย เช่น การแบ่งปันเหยื่อกันกินนั่นเอง

อ้างอิง

[1] wikipedia. (July 05, 2024). เสือโคร่ง. Retrieved from Wikipedia

[2] verdantplanet. (January 26, 2024). เสือโคร่ง. Retrieved from verdantplanet

[3] seub. (July 29, 2017). รู้จัก 6 ชนิดพันธุ์ย่อยของ ‘เสือโคร่ง’. Retrieved from seub

[4] wwf. (2021). เสือโคร่ง. Retrieved from wwf

หนูแฮมสเตอร์ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดลำตัวเล็ก อ้วนป้อม ดวงตากลมโต ชอบกัดและแทะฟันที่สุด หนูมีนิสัยที่ชอบเก็บอาหารไว้ในกระพุ้งแก้ม จึงได้มีชื่อเรียกว่า " แฮมสเตอร์ " (hamster) ที่มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่า " กระพุ้งแก้ม " นั้นเอง อีกทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู จึงทำให้ใครหลายๆคนตกหลุมรักถึงขั้นอยากรับเจ้าหนูตัวจิ๋วไปดูแลกันเลยทีเดียว

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “หนูแฮมสเตอร์” ตัวจิ๋ว

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับหนูแฮมสเตอร์ตัวจิ๋ว

หนูแฮมสเตอร์เป็นอีกหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยลักษณะนิสัยที่แสนจะน่ารัก น่าทะนุถนอม เห็นตัวเล็กๆแบบนี้ ชอบออกกำลังกายมาก ชอบวิ่งเล่นซน มีขนปุกปุยที่จับแล้วนุ่มละมุน หนูสายพันธุ์นี้ไม่ได้เลี้ยงยากอย่างที่คุณคิด แถมยังใช้พื้นที่ไม่เยอะในการเลี้ยงดู สำหรับมือใหม่ที่มีความสนใจหรือกำลังจะต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าบ้านนั้น จะต้องศึกษาหาความรู้ให้ดี

ลักษณะทั่วไปของ หนูแฮมสเตอร์ ที่ทำให้ใครที่พบเห็นตกหลุมรักได้ง่ายๆ

หนูแฮมสเตอร์มีนิสัยที่น่าเอ็นดูอย่างไรบ้าง

เจ้าหนูแฮมสเตอร์ สัตว์เลี้ยงตัวจิ๋ว ที่นอกจากจะทำให้หลายๆคนอยากเป็นเจ้าของแล้ว ยังเลี้ยงไม่ยาก มีความน่ารักอย่างไรบ้าง มาทำความรู้จักเกี่ยวกับเจ้าหนูกัน

หนูแฮมสเตอร์มีนิสัยที่น่าเอ็นดูอย่างไรบ้าง
  1. การกิน : หนูจะกินเก่งมากๆ ผักหรือผลไม้สดจะเป็นอาหารที่ชื่นชอบ มักจะเก็บอาหารไว้ในกระพุ้งแก้ม นอกจากนี้กระพุ้งแก้มสำหรับแม่หนูยังเป็นที่เก็บลูกๆได้อีกด้วย เมื่อรู้สึกถึงอันตราย แต่ถ้าอากาศร้อนจะทำให้กินอาหารน้อยลง เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องสะสมไขมันในร่างกาย
  2. การนอน : จะนอนในเวลากลางวัน และตื่นมาวิ่งเล่นหรือทำกิจกรรมตอนกลางคืนแทน  เพราะโดยธรรมชาติแล้วจะอาศัยอยู่ในโพรงดินกลางทะเลทรายที่มีอากาศร้อนตอนกลางวัน อีกทั้งการออกมาหาอาหารในเวลากลางคืนนั้นจะรู้สึกปลอดภัยกว่า
  3. การออกกำลังกาย : เป็นหนูที่ชอบวิ่งออกกำลังกาย สามารถวิ่งได้ถึง 30 ไมล์ต่อคืน หรือใช้เวลาประมาณ 3 - 4 ชั่วโมงต่อคืนเลยทีเดียว ถ้าหากไม่ได้วิ่ง อาจทำให้เกิดผลต่อสุขภาพได้
  4. การมองเห็น : มักจะมีสายตาไม่ดี สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ไกล แต่ไม่ชัด จะมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว จึงต้องอาศัยการฟังและการดมกลิ่นเพื่อช่วยในการดำเนินชีวิตแทน
  5. การกัดแทะฟัน : เนื่องจากฟันของหนูจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากหนูไม่ได้กัดแทะ อาจทำให้ปากได้รับบาดเจ็บได้ ดังนั้นจึงต้องลับฟันให้สั้น

นอกจากนี้แล้วเจ้าหนูน้อยตัวจิ๋วยังสามารถมีอายุขัยได้นานถึง 2 - 3 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลเลี้ยงดูของเจ้าของ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง สังเกตพฤติกรรม ร่วมถึงปัจจัยอื่นๆและสภาพแวดล้อมที่ดีอีกด้วย [2]

สายพันธุ์และวิธีการสังเกต “หนูแฮมสเตอร์” เมื่อป่วย

มาทำความรู้จักเกี่ยวกับหนูแฮมสเตอร์ พร้อมกับสายพันธุ์ต่างๆที่ได้รับความนิยมเลี้ยง มือใหม่ที่สนใจอยากรับสมาชิกใหม่มาดูแล ต้องเลือกหนูชนิดใดที่เหมาะสมกับตัวเอง รวมไปถึงการดูแลสัตว์เลี้ยงให้ดี ควรมีการสังเกตพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงเบื้องต้นดังต่อไปนี้

หนูแฮมสเตอร์มีกี่สายพันธุ์แล้วสายพันธุ์ไหนที่เชื่องที่สุด

จะเห็นได้ว่าหนูแฮมสเตอร์ที่คุณชื่นชอบนั่นจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ จากที่ได้ค้นพบมานั้น หนูที่เชื่องที่สุด คือ ซีเรียน แฮมสเตอร์ ถือเป็นหนูที่มีมิตรที่สุด ชอบผ่อนคลาย ถ้าเทียบกับหนูสายพันธุ์อื่นเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นชิน รวมไปถึงการดูแลที่ง่ายกว่าด้วย

พฤติกรรมที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า หนูแฮมสเตอร์ กำลังป่วย

หนูแฮมสเตอร์ถึงแม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดูแลไม่ค่อยยาก แต่สิ่งที่สำคัญมาก คือการดูแลเอาใจใส่ ไม่ควรปล่อยปละละเลย ทุกครั้งที่อยู่กับหนูจะต้องค่อยสังเกตอาการทุกวัน โดยมีดังต่อไปนี้

สรุป หนูแฮมสเตอร์ เพื่อนเล่นตัวจิ๋วที่มาพร้อมกับความสุข

ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่หันมาเลี้ยง หนูแฮมสเตอร์ อย่างมาก ด้วยลักษณะนิสัยที่มีความน่ารักน่าเอ็นดู อีกทั้งยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่เล็กพกพาง่าย ใครที่กำลังจะเลี้ยง ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะหนูเปรียบเสมือนเพื่อนเล่นตัวน้อยของคุณ อาจจะมีดื้อหรือซนบ้าง แต่ก็ทำให้คุณหายเหงาได้ ดังนั้นเมื่อรับน้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสมาชิกครอบครัวแล้ว ก็ต้องใส่ใจและดูแลน้องให้ดีที่สุด

อ้างอิง

[1] wikipedia. (January 09, 2024). แฮมสเตอร์. Retrieved from wikipedia

[2] shopee. (October 10, 2023). วิธีเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์อย่างถูกต้อง ลักษณะนิสัยและสายพันธุ์ยอดนิยม. Retrieved from shopee

[3] petplease. (Jan 20, 2023). เรื่องน่ารู้ สำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์. Retrieved from petplease

คาปิบาร่า หรือ เจ้าหนูยักษ์ เป็นสัตว์กินพืชเลี้ยงลูกด้วยนมกึ่งสัตว์น้ำ มีฟันแทะขนาดใหญ่ ชื่อสามัญ Capybara ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Hydrochoerus hydrochaeris ถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนเหนือกับตอนกลางของแถบอเมริกาใต้ ชอบเข้าสังคมมากที่สุด สามารถอยู่ร่วมกับสัตว์ตัวอื่นๆได้แทบจะทุกชนิดเลย แต่ก็จะมีบางตัวที่บ้างชอบอยู่คนเดียว

มาทำความรู้จัก “คาปิบาร่า” ขวัญใจของชาวโซเชียลมีเดีย

คาปิบาร่าสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมิตรที่สุด เรามักจะเห็นภาพถ่ายหรือคลิปที่อยู่กับสัตว์ตัวอื่น ด้วยลักษณะนิสัยที่เชื่องแล้วยังมีความสามารถในการดำน้ำและว่ายน้ำได้ ปัจจุบันกำลังมาแรงในโลกโซเชียลมีเดีย เรียกได้ว่าขวัญใจของใครหลายๆคนเลยก็ว่าได้ จุดเด่นที่ทำให้คนตกหลุมรัก คือ มีใบหน้านิ่งๆ ดวงตาโต แถมตัวยังอ้วน น่าเอ็นดูขนาดนี้จะไม่ให้หลงรักได้ไง

นิสัยและการสืบพันธุ์ของคาปิบาร่าที่ควรรู้

คาปิบาร่าสัตว์ฟันแทะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีรูปร่างลักษณะนิสัยอย่างไรกัน ทำไมคนถึงหันมาชื่นชอบ บางคนถึงขั้นต้องขับรถไปดูของจริงที่สวนสัตว์กันเลยทีเดียว มาทำความรู้จักกัน

ซึ่งไม่แปลกใจเลยทำไมคนถึงสนใจ เพราะความเชื่องและความน่ารักของคาปิบาร่านี้แหละ จึงทำให้คนที่พบเห็นใจละลายไปตามกันเลยทีเดียว [1]

คาปิบาร่ามีรูปลักษณะอย่างไร

เมื่อพูดถึงคาปิบาร่าหลายคนก็จะเรียกกันว่าหนูยักษ์หน้ามึน เพราะหน้าน้องจะดูนิ่งๆออกมึนๆ ถือเป็นจุดเด่นที่ดึงดูดให้คนเกิดความชื่นชอบและสามารถครองหัวใจของใครหลายๆคนได้เลยทีเดียว ถ้ามองดูภายนอกแล้วจะคล้ายกับหนูตะเภาที่สุด โดยมีรูปร่างดังต่อไปนี้

คาปิบาร่ามีรูปลักษณะอย่างไร
  1. ลักษณะ : ตัวเป็นทรงกระบอก รูปร่างจะคล้ายหนูตะเภา หูสั้น ไม่มีหาง ขนจะสั้น มีฟันใหญ่และมีพังผืดที่เท้า ขาหลังจะยาวกว่าขาหน้า ส่วนเท้าหลังจะมี 3 นิ้ว ในขณะที่เท้าหน้ามี 4 นิ้ว นั่นเอง
  2. สีขน : จะมีสีน้ำตาล, น้ำตาลอมแดง, น้ำตาลอมเหลือง, สีเทา
  3. น้ำหนักกับขนาดความยาว : เมื่อโตเต็มที่ จะหนักประมาณ 35 - 66 กิโลกรัม 77-146 ปอนด์ ลำตัวจะยาวประมาณ 45-50 เซนติเมตร
  4. อายุขัย : มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 8 - 10 ปี ซึ่งจะโตเต็มวัย เมื่ออายุประมาณ 15 - 18 เดือน [2]

เจ้าหนู“คาปิบาร่า”เรื่องน่ารู้ก่อนนำมาเลี้ยงเองที่บ้าน

คาปิบาร่าสัตว์โลกผู้น่ารักที่ชอบแช่น้ำเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าในประเทศไทยไม่มีข้อห้ามในการเลี้ยง สามารถนำน้องมาดูแลได้ แต่ต้องมีความรู้และคำนึงถึงปัจจัยในหลายๆด้านด้วยกัน

คาปิบาร่ากินอะไรเป็นอาหารและมีพฤติกรรมแปลกอย่างไร

คาปิบาร่าชอบกินพืชเป็นส่วนใหญ่ แถมยังมีพฤติกรรมแปลกๆที่หลายคนคิดไม่ถึง ก็คือการกินอุจจาระของตัวเองเข้าไป เมื่อรู้แบบนี้แล้วคุณยังจะชื่นชอบเจ้าหนูคาปิบาร่าอยู่ไหม

  1. อาหาร : จะกินพืชจำพวกหญ้า, พืชน้ำ,เปลือกไม้, รากพืช, อ้อยรวมไปถึงผลไม้ต่างๆ จะค่อนข้างกินจุสมกับขนาดตัวเลย
  2. ทำไมถึงกินอึ : เหตุผลที่คาปิบาร่ากินอุจจาระของตัวเองนั้น เพราะระบบย่อยไม่ค่อยดีเท่าไรนัก สามารถย่อยอาหารที่เข้าไปได้ยาก จึงต้องกินอึของตัวเองซ้ำ ฟังดูแล้วอาจดูไม่ค่อยดีนัก แต่หารู้หรือไม่ว่าอึที่กินเข้าไปอุดมไปด้วยโปรตีนจากธรรมชาติทั้งนั้นเลย [3]

ข้อควรรู้ก่อนนำคาปิบาร่ามาดูแล

หากใครที่อยากรับเจ้าคาปิบาร่าไปดูแลจริงๆก็สามารถเลี้ยงน้องได้ แต่ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับน้องให้ดี เพราะเมื่อรับมาดูแลแล้ว จะต้องดูแลไปตลอดจนถึงช่วงอายุขัย ดังนั้นต้องมีความพร้อมในด้านใดบ้าง มีดังต่อไปนี้

ข้อควรรู้ก่อนนำคาปิบาร่ามาดูแล
  1. มีความพร้อมในด้านการเงิน : คาปิบาร่าจะตกตัวละ 40,000 - 50,000 บาท ถือว่าราคาค่อนข้างแพง
  2. เตรียมบริเวณที่เลี้ยงให้พร้อม : มีพื้นที่กว้างขวางน่าอยู่ มีสภาพแวดล้อมที่ดี
  3. ควรเลี้ยงเป็นคู่ หรือหลายตัวขึ้นไป : เพราะไม่ค่อยชอบอยู่ตัวเดียว ถ้าจะให้ดีต้องมีเพื่อนร่วมด้วย
  4. สิ่งที่ไม่ควรขาด : คือต้องทำบ่อน้ำไว้สำหรับให้ลงไปว่ายน้ำเล่น เพราะการที่ได้ลงเล่นน้ำ ถือเป็นความสุขของเจ้าหนู
  5. ไม่ควรเลี้ยงใส่กรง : ควรปล่อยให้อยู่อย่างอิสระ การอยู่ในที่แคบหรือในกรงจะทำให้น้องเครียดได้
  6. การให้อาหารจำพวกผักหรือผลไม้ : สิ่งที่สำคัญคือ ควรล้างทำความสะอาดให้ดีก่อน เพื่อความปลอดภัยจากสารเคมีและยาฆ่าแมลง

เจ้าหนูคาปิบาร่าไม่ได้เลี้ยงยากอย่างที่คุณคิด เพียงแต่ว่าคุณต้องมีความพร้อมในเรื่องของการดูแล ถ้าหากใครที่มีปัญหาด้านการเงินหรือมีพื้นที่จำกัด ควรคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่เดือดร้อนต่อตัวเอง [4]

สรุป เจ้าหนูยักษ์ คาปิบาร่า

คาปิบาร่า สัตว์ที่รักความสงบแถมยังเป็นมิตรกับทุกสิ่งบนโลก เปรียบเสมือนเพื่อนที่ดี นอกจากจะมีนิสัยที่น่าเอ็นดูแล้วยังมีความเชื่องกับทุกคนที่เข้าหา ซึ่งไม่แปลกใจเลยที่มนุษย์อย่างเราตกหลุมรัก ถ้าอยากเจอน้องก็สามารถขับรถไปดูตามสวนสัตว์ต่างๆที่อยู่ใกล้คุณได้ ส่วนใครที่จะรับน้องมาดูแล สิ่งที่สำคัญคือ คุณต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนและความดูพร้อมของตัวเองเป็นหลัก

อ้างอิง

[1] sanook. (July 02, 2023). มาทำความรู้จักกับ "คาปิบาร่า" เจ้าหมามะพร้าวน่ากอด. Retrieved from sanook

[2] wikipedia. (February 29, 2024). แคพิบารา. Retrieved from wikipedia

[3] silpa-mag. (March 08, 2024). “คาปิบารา” ชอบกิน “อึ” เรื่องน่ารักของเจ้าตัวขน ที่คุณ (อาจ) ไม่รู้มาก่อน!. Retrieved from silpa-mag

[4] trueplookpanya. (April 28, 2023). ทำความรู้จัก คาปิบาร่า หนูยักษ์หน้านิ่ง ที่กำลังฮอตบนโลกโซเชียล. Retrieved from trueplookpanya

แมลงสาบ เป็นแมลงที่ไม่มีกระดูกสันหลังมีปีกยาว ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ ประมาณ 250 ปี ปัจจุบันพบมากกว่า 9,000 สกุล 4,000 ชนิด โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะลำตัวยาวเรียวเป็นรูปไข่ มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม จะพบตามพื้นหรือที่มืดเป็นหลักสามารถปรับตัวได้กับทุกสภาพผิว กินทุกอย่างที่เป็นอาหารจะอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน ตามพื้นที่สกปรก จะพบเห็นบ่อยขยะหรือแหล่งสกปรก

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “แมลงสาบ” ทำไมคนถึงกลัว

แมลงสาบมีความสำคัญต่อทางการแพทย์และสาธารณสุข เนื่องจากแมลงจะชอบหากินตามพื้นที่สกปรก ตามแหล่งที่อับชื้น เป็นตัวพาหะที่ทำให้เกิดเชื้อโรคต่างๆ นำมาสู่มนุษย์ เช่น เชื้อรา, แบคทีเรีย, ไวรัส, โปรโตซัว, โรคเรื้อน, ภูมิแพ้ อีกทั้งยังรวมไปถึงโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจอีกด้วย สาเหตุหลักเกิดจากการที่เวลาออกหาอาหารเชื้อโรคต่างๆจะติดมากับลำตัวหรือขานั่นเอง

ประเทศไทยพบ แมลงสาบ กี่ชนิด

ในประเทศไทยจะพบแมลงสาบอยู่ด้วยกันทั้งหมด 7 ชนิด มีอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันหรือไม่

ประเทศไทยพบแมลงสาบกี่ชนิด
  1. แมลงสาบอเมริกัน : จะลักษณะลำตัวขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 30-40 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาลแดง ปีกยาวแถมบินเก่ง มีแหล่งกำเนิดในทวีปแอฟริกา จะนอนตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนจะออกหากิน ซ่อนตัวเก่งมาก จะหลบตามชั้นวางของต่างๆหรือมุมที่มืด ตัวโตเต็มวัยเมื่อ 7 วัน อายุ 4-7 วัน มีอายุประมาณ 212-294 วัน
  2. แมลงสาบออสเตรเลีย : มีขนาดตัวที่ใหญ่เหมือนกัน ลำตัวยาวประมาณ 27-3 มิลลิเมตร แต่จะเล็กกว่า ‘’แมลงสาบอเมริกัน’’ และมีสีที่เข้มกว่า บินเก่ง ส่วนการเจริญเติบโตจะเป็นแบบลอกคราบ มีอายุยืนประมาณ 170-304 วัน
  3. แมลงสาบสามัญ : ตัวจะใหญ่ ยาวประมาณ 22-27 มิลลิเมตร ตัวจะสีน้ำตาลเข้มหรือดำ มีลายที่เห็นได้ชัดเจนตรงด้านบนทรวงอกทั้ง 3 ท่อน ตัวผู้จะมีปีกสั้น ส่วนตัวเมียจะไม่มีปีกไม่สามารถบินได้ บินไม่ได้ จะอยู่รวมกันตามกองหนังสือเก่าๆ
  4. แมลงสาบเยอรมัน : ลำตัวจะประมาณครึ่งนิ้ว ตัวจะสีน้ำตาลอ่อน ปีกยาวทั้งสองเพศบินเก่งทั้งคู่ ชอบอากาศอบอุ่น ตัวเต็มวัยจะอยู่ที่ 7-10 วันจะผสมพันธุ์ จะพบไม่ค่อยบ่อย ส่วนใหญ่จะเห็นตามบ้านเรือนบ้าง แมลงชนิดนี้จะแพร่พันธุ์ได้เร็วมาก อีกทั้งยังสามารถขยายพันธุ์ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งเพศผู้
  5. แมลงสาบลายน้ำตาล : มีขนาดตัวที่เท่ากับแมลงสาบเยอรมัน สีน้ำตาลอ่อน จุดที่สังเกตได้ง่ายคือมีแถบพาดผ่านอยู่สองแถบที่ปีก จะอยู่เกาะกลุ่มกัน ออกหากินไม่ไกลจากที่อยู่อาศัย ซึ่งจะพบน้อยมาก อย่างเช่นในกล่องปี๊บ
  6. แมลงสาบซูรินาม : ตัวจะยาวประมาณ 18-24 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาลเข้มบางตัวจะสีดำ พบบ่อยตรงพื้นดินใต้กองขยะ, เศษกองใบไม้ ช่วงเวลากลางคืนอาจบินเข้ามาในบ้านบ้าง
  7. แมลงแกลบ : จะมีรูปร่างลักษณะตัวที่คล้ายแมลงสาบซูรินาม ตัวจะยาวพอๆกัน สีเหมือนกัน ปัจจุบันสามารถใช้ประโยชน์ในการกำจัดขยะอินทรีย์ได้ [1]

อยากรู้เกี่ยวกับเพศของ “แมลงสาบ” ต้องดูอย่างไร

แมลงสาบจะมีอยู่ด้วยกัน 2 เพศ คือเพศผู้กับเพศเมีย ซึ่งทั้งคู่จะมีลักษณะที่คล้ายกันมาก บางทีก็ถึงกับแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ จะมีวิธีการสังเกตดูดังต่อไปนี้

นี่คือความแตกต่างระหว่างแมลงทั้งสองเพศ ซึ่งถ้าลองสังเกตดูดีๆไม่ได้ดูยากอย่างที่คุณคิด หากใครที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศของแมลงสาบอยู่ก็สามารถนำเทคนิคนี้ไปใช้ได้ [2]

แมลงสาบที่มาพร้อมกับโรคควรมีวิธีการกำจัดอย่างไรเพื่อความปลอดภัย

ถ้าพูดถึงแมลงสาบแล้วจะเห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ชอบ บางคนก็ถึงขั้นกลัวมาก ทั้งที่แมลงไม่ได้ตัวใหญ่หรือทำร้ายคน แต่เพราะชอบอยู่ในที่สกปรกรวมไปถึงนำพาหะเชื้อโรคมาสู้มนุษย์ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา หากพบว่าแมลงอยู่ในบ้านก็จะรีบจัดการทันทีเพื่อป้องกันโรค

อันตรายจากแมลงสาบที่ส่งผลต่อมนุษย์

อันตรายจากแมลงสาบที่ส่งผลต่อมนุษย์
  1. พาหะนำโรค : ที่ติดตามมากับขา, ลำตัว, ปีก, เมื่อเจอแมลงสาบอยู่ในอาหารห้ามกินให้ทิ้งทันที ส่วนไข่ถ้าเจอให้นำไปเผ่าทิ้ง
  2. เชื้อแบคทีเรีย : จะทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา เช่นโรคบิด, โรคท้องเสีย, โรคติดเชื้อของช่องขับถ่าย, โรคฝีผิวหนังพุพอง, โรคในระบบทางเดินอาหาร, โรคอาหารเป็นพิษ
  3. หนอนพยาธิ : ในรังจะสะสมโรค เช่น พยาธิปากขอ, พยาธิไส้เดือนกลม, พยาธิตัวตืดแคระ, พยาธิตัวตืดวัว, พยาธิใบไม้โลหิต
  4. เชื้อรา : จะมีอยู่ 2 ชนิด ที่เป็นสาเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจ คือ Aspergillus fumigatus และโรคผิวหนัง คือ Aspergillus niger
  5. เชื้อไวรัส : สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ ที่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย คลื่นไส้หรืออาเจียน
  6. เชื้อโปรโตซัว : มีเชื้อหลายชนิดที่ทำให้เกิดโรคท้องเสียกับท้องบิด
  7. ทำให้เกิดอาการแพ้ : พวกเศษของปีกหรือชิ้นส่วนต่าง ๆ ของแมลงสาบ ถ้าหายใจเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ [3]

วิธีการกำจัด แมลงสาบ ไม่ให้เข้ามากวนใจคุณอีกต่อไป

แมลงสาบเข้าบ้านถือเป็นปัญหาที่ทำให้ใครหลายๆกลุ้มใจ ซึ่งเจ้าแมลงสาบตัวเล็กนี้สามารถอยู่ได้ในทุกที่ของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นในห้องนอน, ห้องน้ำ, ห้องครัว หรือโซนห้องนั่งเล่น หากกำลังพบเจอกับปัญหานี้อยู่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ หาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดการที่ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเอง

  1. โรยผงกรดบอริก : สามารถนำผงมาโรยไว้รอบๆบริเวณที่มีความอับชื้นหรือตามเครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าแมลงสาบมาตกหลุมพรางแล้วตายสนิท ให้คุณรีบทำความสะอาดทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานเพราะอาจจะทำให้ผงปลิวไปโดนของใช้อื่นๆได้
  2. กับดักเจล : ให้คุณพับกระดาษทรงรูปกรวย จากนั้นนำเจลป้ายไว้ด้านในให้ทั่ว แล้วนำไปวางไว้ตามจุดที่ต้องการ เมื่อแมลงหลงกลมาโดนก็จะทำติดเชื้อ
  3.  การวางยา : ใส่ยาเบื่อมาผสมกับอาหาร เพื่อล่อให้แมลงสาบหลงกลมากิน โดยใส่ไว้ในภาชนะที่มีขอบกั้น นำไปวางไว้ภายในรอบๆ ถ้าแมลงสาบกินเหยื่อเข้าไปก็จะหมดลมหายใจทันที ข้อควรระวังคือ ถ้ามีเด็กเล็กจะต้องระวังให้ดี ห้ามให้ไปโดนกับดักเด็ดขาด
  4. กวาดบ้านให้เกลี้ยง : สิ่งที่แมลงสาบชอบคือความสกปรก ดังนั้นต้องกวาดพื้นให้สะอาด กำจัดเศษขยะตามซอกมุมให้เกลี้ยง
  5. ทำเหยื่อล่อด้วยดินเบา : ดินเบาเป็นสารสกัดจากไดอะตอมไมต์ ที่มีซิลิกาจำนวนมาก ดังนั้นควรสวมถุงมือให้มิดชิดใส่หน้ากากปิดปากด้วย ก่อนนำมาทำเหยื่อล่อกับดัก เพราะถ้าหากสูดดมเข้าไปก็จะเป็นอันตรายได้
  6. เบกกิ้งโซดา : ทำเองได้ง่ายๆ เริ่มจากผสมน้ำตาลกับเบกกิ้งโซดาลงในน้ำเปล่า จากนั้นเทใส่กระป๋อง ส่งกลิ่นหวานๆ ล่อให้แมลงสาบเข้ามากินน้ำ จากนั้นก็จะขาดใจตายเพราะในท้องอัดแน่นไปด้วยแก๊ส
  7. กากกาแฟ : เอากากกาแฟแช่น้ำใส่ลงไปในขวดโหล ม้วนกระดาษทรงรูปกรวยเสียบไว้ที่ปากขวด ตั้งทิ้งไว้ 1 คืน ถ้าแมลงสูดดมเข้าไปจะตายด้วยกลิ่นของคาเฟอีน
  8. จัดห้องครัวให้เป็นระเบียบ : ทุกครั้งที่ทำอาหารเสร็จจะต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อย นำเศษขยะไปทิ้งนอกบ้าน กับข้าวที่กินไม่หมดอย่าวางทิ้งไว้เด็ดขาด ให้นำเข้าตู้ปิดฝาให้สนิท
  9. น้ำมันสะเดา : นำน้ำมันสะเดาสกัดสำเร็จรูปมาผสมกับน้ำเปล่าเพื่อเทใส่ขวดสเปรย์ที่เตรียมไว้ ฉีดตามบริเวณที่ต้องการได้เลย
  10. น้ำยาปรับผ้านุ่ม : เอาน้ำยามาผสมกับน้ำเปล่าให้เข้ากัน เทใส่ขวดสเปรย์ จากนั้นก็นำไปพ่นตามที่ที่แมลงสาบชอบเข้าไปอยู่ [4]

สรุป แมลงสาบ อันตรายกว่าที่คุณคิด เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยผ่าน

การดูแลความสะอาดถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่าปล่อยให้ แมลงสาบ เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน เพราะเป็นตัวพาหะนำโรคที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนในครอบครัวได้ ส่วนใครที่กำลังเจอปัญหาอยู่และอยากจัดการกับแมลง ต้องมีความรู้หรือศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะสารที่ใช้ในการกำจัดแมลงบางตัวอันตราย ควรมีการสวมถุงมือพร้อมกับปิดปากให้สนิททุกครั้งเพื่อความปลอดภัย

อ้างอิง

[1] wikipedia. (March 08,2024). แมลงสาบ. Retrieved from wikipedia

[2] nih.dmsc.moph. (May 2016). แมลงสาบเจ้าวายร้ายในบ้านเรือน Cockroaches. Retrieved from nih.dmsc.moph

[3] nthaipbs. (July 15, 2017). แมลงสาบ 1 ตัวสะสมเชื้อโรค-เตือนห้ามกินเด็ดขาด. Retrieved from nthaipbs

[4] kapook. (2024). 10 วิธีกําจัดแมลงสาบตัวเล็ก ให้หมดไปจากบ้านเราสักที . Retrieved from kapook

ปลาดุก เป็นปลาน้ำจืดที่ไม่มีเกล็ด มีรูปร่างเรียวยาว ผิวหนังจะลื่นๆ จัดอยู่ในสกุล Clarias อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทั่วประเทศ มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและเขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันดี เนื่องจากปลาได้รับความนิยมในการบริโภคเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในทีวีปเอเชีย

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ “ปลาดุก”

ปลาดุกหรือปลาเศรษฐกิจที่ชาวไทยส่วนใหญ่นิยมเลี้ยง เพราะเป็นปลาที่ค่อนข้างเลี้ยงง่าย กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ในไทยจะพบปลาดุก ตามคลอง หนอง บึง หรือทั่วทุกภาคที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทั่วไป

สายพันธุ์ของ ปลาดุก ที่เลี้ยงในไทย

ในประเทศไทยปลาดุกที่นิยมเลี้ยง จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 สายพันธุ์ ได้แก่อะไรบ้าง

สายพันธุ์ของปลาดุกที่เลี้ยงในไทย
  1. ปลาดุกอุย : หรือปลาดุกนา ปลาที่มีรสชาติอร่อย เนื้อไม่เละ สีของผิวหนังค่อนข้างเหลือง ทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีมาก มีการเจริญเติบโต แต่มีน้ำหนักตัวที่น้อย
  2. ปลาดุกเทศ : ปลาที่มีขนาดใหญ่สุดในสกุล Clarias มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ปลาดุกรัสเซีย ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 1.70 เมตร เป็นปลาพื้นเมืองของทวีปแอฟริกา รสชาติของเนื้อไม่ค่อยอร่อย เนื้อจะมีสีขาวค่อนข้างเละ
  3. ปลาดุกบิ๊กอุย : คือปลาลูกผสม ที่กรมประมงได้นำมาทดลองผสมข้ามพันธุ์ ระหว่างพ่อพันธุ์ปลาดุกเทศ กับ แม่พันธุ์ปลาดุกอุย มีการเจริญเติบโตเร็วที่สุด เนื้อมีรสชาติดี มีการส่งเสริมแพร่วิธีการขยายพันธุ์เพื่อการเลี้ยงดูสู่เกษตรกรได้อย่างกว้างขวาง จนปัจจุบันเป็นปลาที่ได้รับความนิยมสูง
  4. ปลาดุกด้าน : ปลาที่ถูกพัฒนาให้มีความสวยงาม มีสีสันลวดลายแตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะมีลักษณะของสีเผือก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ จะอยู่ที่ประมาณ 50 เซนติเมตร
  5. ปลาดุกลำพัน : จะมีลักษณะสีของลำตัวค่อนข้างดำ สีจะเปลี่ยนไปตามอายุ ขนาดลำตัว รวมไปถึงสภาพแวดล้อม ถ้าโตเต็มวัยจะมีสีเข้ม แต่ถ้านำมาเลี้ยงในบ่อจะมีสีน้ำตาลเหลือง เนื้อปลามีรสชาติอร่อยและหวาน มักจะพบในเขตบริเวณปลาพรุ

หากคุณมีความสนใจที่อยากจะเลี้ยงปลาดุก สามารถเลือกสายพันธุ์ที่ต้องการได้ โดยแต่ละสายพันธุ์ก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับตัวผู้เลี้ยงว่าชอบแบบไหน เลี้ยงเพื่อจุดประสงค์ในด้านใดเป็นหลัก [1]

นิสัยและรูปร่างหน้าตาของเจ้าปลาดุก

นิสัยและรูปร่างหน้าตาของเจ้าปลาดุก-

แนวทางและขั้นตอนการเลี้ยง ปลาดุก ที่ถูกต้อง

การเลี้ยงปลาดุก จะต้องมีความรู้พื้นฐาน ศึกษาข้อมูลให้ดี เนื่องจากปลาสามารถเลี้ยงได้หลายรูปแบบ เช่น การเลี้ยงในบ่อดิน, บ่อซีเมนต์, ในกระชัง และในบ่อพลาสติกเป็นต้น โดยส่วนมากชาวเกษตรกรจะนิยมเลี้ยงปลาในบ่อดิน เพราะช่วยลดต้นทุน อีกทั้งปลายังเจริญเติบโตเร็ว มีอัตราการรอดสูง ยกตัวอย่างเช่น

การเตรียมบ่อดินในการเลี้ยง ปลาดุก

  1. บ่อใหม่ : หว่านปูนขาวให้ทั่วบ่อ ปริมาณ 80-120 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ ตากทิ้งไว้ 2-3 วัน ตากบ่อทิ้งไว้ 2-3 วัน
  2. บ่อเก่า : ทำความสะอาด โดยการลอกเลน กำจัดวัชพืชรอบๆให้หมด รวมทั้งกำจัดศัตรูปลา ด้วยการใช้โล่ติ๊นหรือกากชา ผสมน้ำสาดให้ทั่ว แล้วโรยปูนขาว 80-120 กิโลกรัม จากนั้นตากทิ้งไว้ 2-3 วัน
  3. การใส่ปุ๋ยเพื่อสร้างอาหารธรรมชาติ : จะแบกออกเป็น 3 ปุ๋ย คือ ปุ๋ยคอก 150-200 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เช่น ปุ๋ยนา 4-5 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ และปุ๋ยยูเรีย อยู่ที่ 2.5 กิโลกรัม
  4. ปล่อยน้ำเข้าบ่อ : ให้น้ำเข้า 30-50 เซนติเมตร ทิ้งไว้ 5-7 วัน เมื่อน้ำเริ่มเขียวแล้วให้เพิ่มระดับความลึกประมาณ 1.0-1.5 เมตร หลังจากนั้นเมื่อครบ 3-5 วันก็นำลูกปลาลงปล่อย

ขั้นตอนในการเลี้ยง ปลาดุก

ปลาดุกนอกจากจะเลี้ยงง่ายแล้ว เป็นปลาอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ปัจจุบันชาวเกษตรส่วนใหญ่หันมาเลี้ยงเพื่อสร้างเป็นรายได้ ซึ่งก่อนจะเลี้ยงปลาก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน รวมทั้งควรมีการคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและความเหมาะสมของสถานที่ด้วย

  1. การเตรียมพันธุ์ปลา : อันดับแรกควรเลือกลูกปลาที่มาจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ สังเกตปลาที่มีความแข็งแรง ลำตัว หนวด ครีบ หาง สมบูรณ์ ไม่ว่ายน้ำหงายท้อง
  2. อัตราการปล่อย : ลูกปลาที่ขนาด 2-3 เซนติเมตร ควรปล่อยในอัตรา 50-100 ตัว ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีในการเลี้ยง ชนิดของอาหาร ขนาดของบบ่อและระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำ
  3. การปล่อยปลาลงบ่อเลี้ยง : ก่อนการปล่องลงสู้บ่อควรเอาถุงแช่ไว้สัก 10-15 นาทีก่อน เพื่อปรับอุณหภูมิให้เท่ากัน ปลาควรมีขนาดเท่ากับนิ้วมือ ช่วยเพิ่มอัตราการอดตายให้สูงมากขึ้น การปล่อยปลาช่วงเย็นจะดีที่สุด เนื่องจากอากาศไม่ค่อยร้อน ปลาจะปรับตัวได้ดี
  4. การให้อาหาร : ปลาที่เข้าสู่วันแรก ยังไม่ต้องให้อาหาร วันต่อมาค่อยให้เป็นอาหารลูกปลาอ่อน โดยให้ประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อลูกปลาโตแล้วให้กินอาหารเม็ด ได้เริ่มให้อาหารเล็กพิเศษ จนอายุครบ 1 เดือน โดยให้ทานวันละ 2 เวลา คือ ช่วงเช้ากับเย็น  ถ้าอายุครบ 2 เดือน จึงให้อาหารปลาดุกใหญ่
  5. วิธีการให้อาหารปลา : ให้อาหารปลาให้เป็นเวลา ตำแหน่งควรเป็นสถานที่เดิม มีแป้นหรือภาชนะรองรับ ควรมีการให้สัญญาณ เช่น การใช้มือตีน้ำให้กระเทือน ปรับปริมาณในทุกๆ 1-2 สัปดาห์
  6. การถ่ายเทน้ำ : ควรเริ่มถ่ายตั้งแต่ 1 เดือน โดยประมาณ 20% ของน้ำในบ่อ 3 วันต่อ 1 ครั้ง หรือสังเกตถ้าน้ำเริ่มเสียจะต้องเปลี่ยนน้ำ [2]

สรุป การเลี้ยง ปลาดุก นอกจากจะบริโภคเนื้อแล้วยังสามารถสร้างรายได้

นอกจาก ปลาดุก จะได้รับความนิยมในการรับประทานแล้ว ยังสามารถทำอาหารได้อีกหลายเมนู เลี้ยงง่าย มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทนต่อสภาพแวดล้อมและอากาศได้ดี จึงทำให้ในปัจจุบันชาวเกษตรกรหันมาเลี้ยงปลาดุกกันอย่างกว้างขวาง เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการสร้างรายได้ที่มีความมั่นคง

อ้างอิง

[1] grobest. (2024). สายพันธุ์ปลาดุกในประเทศไทยที่นิยมเพาะเลี้ยง. Retrieved from grobest

[2] fisheries (2024). เรียนรู้เรื่องปลาดุก. Retrieved from fisheries

ควายไทย หรือ กระบือ เป็นสัตว์ 4 ขาที่มีขนาดใหญ่ ที่อยู่คู่กับชาวเกษตรกรไทยมาตั้งแต่สมัยอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน เป็นสัตว์ที่มนุษย์สามารถนำมาฝึกฝนเลี้ยงจนเชื่องได้ จึงทำให้เกิดความรักและความผูกพันระหว่างควายกับเจ้าของ อีกทั้งยังเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเลี้ยงเพื่อใช้เป็นแรงงานหรือบริโภคแล้ว ควายยังเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์อีกหลายประการ

อยากเลี้ยง “ควายไทย” ต้องมีความรู้อย่างไรบ้าง

ควายไทยเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ว่ายน้ำเก่ง อีกทั้งยังเป็นสัตว์ที่ใช้ต้นทุนในการเลี้ยงไม่สูงมาก ควายจะมีลักษณะนิสัยที่ทนต่อฝนแต่ทนร้อนไม่ค่อยได้ เวลาอากาศร้อน ควายจะชอบลงไปแช่ในแอ่งน้ำหรือโคลน เพราะถ้าร้อนมากๆอาจทำให้ควายหงุดหงิดหรือทำร้ายคนได้ ดังนั้นการเลี้ยงควายจึงต้องมีการศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียด รอบคอบ เพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและผู้คนที่พบเห็น

ความรู้เบื้องต้นที่ควรรู้เกี่ยวกับการนำ “ควายไทย” มาเลี้ยง

ในประเทศไทยจะมีควายสายพันธุ์หลักๆอยู่ 2 กลุ่มได้แก่ ควายป่าและควายบ้าน โดยส่วนใหญ่แล้วชาวเกษตรไทยจะนิยมเลี้ยงควายบ้านเป็นหลัก ซึ่งควายบ้านจะแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ ได้แก่ ควายปลักและควายแม่น้ำ ควายทั้ง 2 สายพันธุ์นี้สามารถผสมพันธุ์กันได้ แต่ก็จะมีลักษณะรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป

หากคุณมีความสนใจที่อยากจะนำควายไทยมาเลี้ยง ก็สามารถเลือกสายพันธุ์ที่ต้องการได้ โดยทั้งสองสายพันธุ์นี้ได้รับความนิยมแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยงว่ามีจุดประสงค์ที่อยากจะเลี้ยงควายเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง [1]

ลักษณะทั่วไปของ ควายไทย ที่ควรรู้

โดยทั่วไปชาวเกษตรกรส่วนใหญ่จะสนใจเลี้ยงควายปลักเป็นหลัก เพราะควายปลักจะมีที่นิสัยที่เชื่อง เลี้ยงง่าย กินพืชได้หลายชนิด เช่น เปลือกข้าวโพด ต้นข้าวโพด อีกทั้งยังสามารถดำน้ำได้นาน แต่ควายตัวผู้บางตัวอาจจะมีนิสัยดุร้ายในช่วงระหว่างที่ควายตัวเมียจะมีการผสมพันธุ์

ลักษณะทั่วไปของควายไทยที่ควรรู้
  1. ลักษณะภายนอกของควายในประเทศไทย : จะมีลำตัวขนาดใหญ่ รอบอกใหญ่ท้องกางใหญ่ คอใหญ่ หน้าอกกว้างอวบแข็งแรง หัวลักษณะค่อนข้างยาว หัวลักษณะค่อนข้างยาว หน้าผากแคบ บริเวณบั้นท้ายลาด หางยาว ผิวหนังตลอดร่างกายเป็นสีเทาแก่ถึงดำ
  2. สี : จะมี 2 สี คือ สีเทาดำและสีขาว หรือที่เรียกกันว่า ควายเผือก สีของควายจะเป็นสีของผิวหนังและสีขน ควายจะมีขนน้อยประมาณ 25-40 เส้นต่อผิวหนัง 1 ตารางนิ้ว ควายเผือกจะพบเห็นอยู่บ้างแต่ไม่มาก
  3. ขวัญ : เป็นลักษณะประจำตัวของควายสามารถพบเห็นได้ตามส่วนต่างๆของร่างกาย มีตั้งแต่ 1-9 ขวัญ ควายแต่ละตัวจะมีจำนวนขวัญไม่เท่ากัน จะพบมากที่ หัว, ไหล่ และซอกขา
  4. เขา : ควายทั่วไปหรือส่วนมากมีเขากางออกสองข้างของศีรษะ ปลายเขาโค้งเข้าหากัน ลักษณะเขาควายส่วนล่างเป็นสี่เหลี่ยมรูปมนผิวขรุขระเป็นปล้อง ส่วนบนกลมเรียวปลายแหลมผิวลื่น
  5. ฟัน : ควายมีฟันจำนวน 2 ชุด คือ ฟันน้ำนมกับฟันแท้ ฟันน้ำนม จะมีจำนวน 20 ซี่ ส่วนฟันแท้ มีจำนวน 32 ซี่

วิธีการเลี้ยงและประโยชน์ที่ได้รับจากควายไทย

สำหรับคนที่ตัดสินใจเลี้ยงควายไทยคุณต้องทราบก่อนว่า การเลี้ยงควายไทยนั้น มีวิธีการเลี้ยงและการดูแลควายอย่างไรบ้าง

เลี้ยง ควายไทย ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

  1. การดูแลโรงเรือน : ควรมีสภาพแวดล้อมที่ดี มีอากาศถ่ายเทที่สะดวก ไม่มีกลิ่นเหม็น ทำความสะอาดอยู่สม่ำเสมอ สร้างคอกออกห่างจากบ้านพักอาศัยโดยพอประมาณ ควบคุมอุณหภูมิความชื้นพร้อมกับติดตั้งระบบพ่นน้ำจนทั่วเพื่อช่วยคลายความร้อนให้กับควาย
  2. อาหาร : เน้นในเรื่องของคุณภาพเป็นหลัก จะจำแนกออกได้ 5 ประเภท ได้แก่ พลังงาน โปรตีน แร่ธาตุ วิตามิน และ น้ำ ซึ่งผู้เลี้ยงควรให้หญ้ากับน้ำกินในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน
  3. ระบบการย่อย : ควายมีกระเพาะรวมประกอบด้วยกัน 4 ส่วน ทำให้สามารถย่อยอาหารหยาบได้ เมื่อกินพวกหญ้าเข้าไปแล้ว จุลินทรีย์จะเจริญเติบโต พอเวลาผ่านไปจะถูกย่อยออกมาเป็นโปรตีน
  4. การผสมพันธุ์ : ต้องมีการคัดเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ สังเกตจากลักษณะดี โตเร็ว ให้ลูกดก มีอวัยวะเพศที่สมบูรณ์ไม่ผิดปกติ ทั้งเพศผู้และเพศเมีย ไม่มีโรค การผสมพันธุ์จะมีอยู่ 3 วิธี ได้แก่ การปล่อยพ่อพันธุ์คุมฝูง การจูงเข้าผสม การผสมเทียม
  5. การป้องกันโรค : สังเกตพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยง ถ้าหากพบความปิดปกติใดๆให้รีบตามสัตวแพทย์มาช่วยดู ผู้เลี้ยงจะต้องฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ รวมไปถึงกำจัดสัตว์ที่เป็นโรคร้ายแรงเพื่อไม่ให้เกิดโรคติดต่อไปยังสัตว์ตัวอื่น [2]

เลี้ยง ควายไทย ได้รับประโยชน์ในด้านใดบ้าง

เนื่องจากสมัยก่อนคนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวนา จึงเลี้ยงควายไทยเป็นหลัก เพื่อช่วยในการทำไร่ทำนา ปัจจุบันควายยังคงเป็นสัตว์ที่ได้รับความนิยมของเกษตรกรไทยในอีกหลายๆด้าน เช่น

เลี้ยงควายไทย-ได้รับประโยชน์ในด้านใดบ้าง-
  1. การใช้แรงงาน : ถ้าเป็นสมัยก่อนผู้เลี้ยงจะใช้ควาย ไว้ทำไร่ ไถนา ช่วยทุ่นแรง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น จึงมีการใช้เครื่องจักร เช่น รถไถมาแทน
  2. ทำปุ๋ยจากมูลควาย : มูลควายเป็นปุ๋ยที่ทำให้พืชผักมีความเจริญเติบโตได้ดี เพราะช่วยในการปรับสภาพดิน เพิ่มแร่ธาตุและวัตถุในดิน เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร แถมยังลดค่าใช้จ่ายในการใช้ปุ๋ยเคมี
  3. การบริโภค : เนื้อทำเป็นอาหารได้หลายเมนู มีคุณค่าทางอาหารสูงที่อุดมไปด้วยโปรตีน มีไขมันต่ำ นอกจากนั้นการรีดนมควายยังสามารถดื่มหรือนำไปแปรรูปได้อีกหลายอย่าง
  4. กำจัดวัชพืช : เป็นการปล่อยสัตว์เลี้ยงในพื้นที่นาของตัวเอง โดยที่ควายจะค่อยๆเล็มหญ้ากิน ช่วยในการกำจัดวัชพืชแบบธรรมชาติ ไม่ต้องจ้างคนมาตัดหญ้าให้
  5. สร้างรายได้ : นอกจากเนื้อควายที่ขายได้แล้ว ยังมีน้ำนม มูลสัตว์ รวมไปถึงน้ำเชื้อที่แข็งแรง ถ้าตัวไหนมีลักษณะที่สวยงาม ยิ่งถ้าเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จะขายได้ในราคาที่สูง บางตัวอาจพุ่งสูงถึงหลักล้านเลยทีเดียว
  6. เลี้ยงควายง่ายต้นทุนไม่สูงมาก : เป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย สามารถปล่อยแบบอิสระได้หากมีพื้นที่กว้างขวาง อาหารหลักคือหญ้าที่สามารถหากินได้ตามท้องนา ควรสร้างโรงเรือนให้พอดีกับจำนวนควายที่นำมาเลี้ยงจะช่วยในเรื่องของการประหยัดงบประมาณ
  7. ความสวยงาม : ถ้ามีรูปลักษณ์ที่ดี สมบูรณ์ แข็งแรง ก็จะเป็นที่น่าสนใจของผู้คนที่พบเห็น ยิ่งถ้าเป็นพ่อพันธุ์จะมีราคาค่อนข้างสูง เพราะคนอยากซื้อมาเลี้ยงเพื่อผสมพันธุ์ ลูกออกมาจะได้สวยขายได้ราคาดี [3]

สรุป การเลี้ยง ควายไทย

สำหรับใครที่ต้องการจะเลี้ยง ควายไทย การศึกษาข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะว่าควายเป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่องก็จริง แต่ในบางครั้งถ้าเกิดหงุดหงิดขึ้นมาก็อาจทำร้ายคนได้ อีกทั้งยังมีลำตัวที่ใหญ่ หากไม่มีความรู้ก็อาจเกิดอันตรายถึงขั้นชีวิต ดังนั้นก่อนที่คุณจะเลี้ยงควาย คุณต้องคิดพิจารณาให้ดีๆ เตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน ดูแลอย่างถูกวิธีเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเองและผู้อื่น

อ้างอิง

[1] baanlaesuan. (April 03, 2024). รู้ก่อนเลี้ยงควายไทย สัตว์เกษตรมากมูลค่า. Retrieved from baanlaesuan

[2] pvlo-cmi. (2016). คู่มือการเลี้ยงควายไทย. Retrieved from pvlo-cmi

[3] newlifeanimals. (September 01, 2023). ประเทศไทย มีควาย กี่สายพันธุ์ เลี้ยงควายไปทำไมได้ประโยชน์อะไรบ้าง. Retrieved from newlifeanimals

เม่นแคระ ถือได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆที่คนนิยมเลี้ยง และหันมาให้ความสนใจในการเลี้ยงอีกหนึ่งชนิดก็ว่าได้ เนื่องด้วยรูปร่างที่ดูแปลกตา บวกกับความน่ารักที่ดูแล้วไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ ทำให้มีคนเริ่มศึกษาและหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงมากขึ้น

แม้ว่าบางคนอาจจะมองว่าเจ้าตัวเล็กมีหนามนี้อาจจะดูแลยาก หรือว่าต้องการดูแลเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่ความจริงแล้วการเลี้ยงเม่นแคระไม่ได้ยากอย่างที่คิด และทุกคนสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลี้ยงได้ไม่ยากแน่นอน

เม่นแคระ สัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ทุกคนเลี้ยงได้

ก่อนที่คนรักสัตว์ทั้งหลายจะเริ่มมองหาเม่นแคระมาเลี้ยงสักตัว เราควรรู้จักกับสัตว์ชนิดนี้ให้เข้าใจเสียก่อน เพื่อที่จะได้เลี้ยงอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้ดูแลเม่นแคระได้อย่างถูกวิธี เป็นการช่วยให้การดูแลไม่ยุ่งยาก สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพที่แข็งแรง เมื่อเจ็บป่วยก็สามารถพาไปรักษาได้อย่างทันท่วงที เอาเป็นว่าเรามาเริ่มต้นทำความรู้จักกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กของเราไปพร้อมๆกันได้เลย

ความเป็นมาของเม่นแคระสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก

สัตว์เลี้ยงที่เราเรียกว่าเม่นแคระ หรือ เฮดจ์ฮอก (hedgehog) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก มีลักษณะคล้ายกับเม่นทั่วไป อย่างที่เราเคยเห็นว่าเม่นจะมีหนามแหลมปกคลุมร่างกาย เมื่อไรที่รู้สึกไม่ปลอดภัย หรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย แม่นแคระจะทำการขดตัวกลม พร้อมกับแผ่ขนให้ตั้งขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง แต่จะไม่สามารถสลัดขนไล่ศัตรูได้

ในส่วนของใบหน้าจะมีลักษณะคล้ายกับหนู แต่จมูกจะมีความยาวมากกว่า ในการดำรงชีวิตจะใช้จมูกดมกลิ่นฟุตฟิตๆตลอดเวลา สัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์ที่ชอบออกหากินเวลากลางคืน ในตอนกลางวันมักจะใช้เวลาไปกับการนอนเป็นหลัก กินแมลงเป็นอาหารหลัก รวมถึงผลไม้บางชนิด [1]

นิสัยของเม่นแคระที่ควรรู้

การเลี้ยงเม่นแคระในตอนกลางวันมักจะเห็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งมากที่สุด นั่นก็คือการนอนขดตัวกลมนิ่งอยู่อย่างนั้น แทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวเลย เพราะอย่างที่เรารู้กันไปแล้วว่าเม่นแคระคือสัตว์ที่หากินตอนกลางคืน หากถึงเวลาเมื่อไรเจ้าตัวเล็กก็จะวิ่งไปมา ทำตัวดุ๊กดิ๊กแทบจะไม่หยุดนิ่งเช่นกัน

เม่นแคระ

แม้ว่าสัตว์ชนิดนี้จะมีขนาดจิ๋วน่ารัก ในการนำมาเลี้ยงก็ต้องหมั่นทำความคุ้นเคยเสียก่อน เพื่อให้สามารถจับเม่นแคระได้อย่างง่ายดาย และไม่โดนเจ้าขนหนามแหลมๆนั้นขู่ด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่าเม่นแคระมักไม่คุ้นกับกลิ่นใหม่ๆ หากมีการสัมผัสหรือว่าให้ดมกลิ่นของคนเลี้ยงประจำ สามารถปรับพฤติกรรมของเม่นแคระให้เชื่องกับเจ้าของได้มากขึ้น [2]

เม่นแคระกับขั้นตอนการเตรียมตัวเลี้ยง

มือใหม่ที่อยากจะเลี้ยงเม่นแคระแต่เลี้ยงไม่เป็น ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน ให้กินอะไรได้บ้าง รวมถึงเวลาที่สัตว์เลี้ยงมีอาการเจ็บป่วยต้องทำอย่างไร วันนี้ทุกอย่างถูกนำมารวมเอาไว้ให้แล้ว หรือแม้แต่บางคนที่ยังไม่คิดจะเลี้ยงก็สามารถศึกษาไว้ก่อนได้เช่นกัน ส่วนรายละเอียดการเลี้ยงจะมีความน่าสนใจขนาดไหน ไปดูกันได้เลย

สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก่อนเลี้ยงเม่นแคระมีอะไรบ้าง?

การเลี้ยงเม่นแคระผู้เลี้ยงต้องมีเวลาในการดูแลทุกวัน พร้อมทั้งต้องมีความรักสัตว์ด้วย จะทำให้การเลี้ยงทำได้ดีมากยิ่งขึ้นไป สำหรับการเลี้ยงมีสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ดังต่อไปนี้

เม่นแคระ

อาหารที่เม่นแคระไม่ควรกิน

สิ่งสำคัญที่คนเลี้ยงเม่นแคระต้องจำให้ดีก็คือเรื่องอาหาร การกินในสิ่งที่เม่นแคระต้องการจะทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วย และอยู่กับเจ้าของไปนานๆ คนเลี้ยงควรเลือกอาหารที่มีโปรตีนเป็นหลัก ซึ่งเพื่อนๆสามารถให้กินอาหารเสริมเช่นพวกผลไม้ หรือว่าแมลงตัวเล็กๆร่วมด้วยได้

แต่ไม่ควรให้กินอาหารแมว แม้ว่าจะให้กินได้ เพราะอาหารแมวมีโปรตีนน้อย หากกินเป็นเวลานานจะส่งผลทำให้เม่นแคระเป็นโรคไตและโรคเกี่ยวกับตับตามมาได้ แนะนำเลือกซื้ออาหารของเม่นแคระโดยเฉพาะจะดีที่สุด [3]

สรุป การเลี้ยง เม่นแคระ ไม่ยากเหมาะสำหรับคนรักสัตว์ทุกคน

หากได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลี้ยง เม่นแคระ อย่างถูกวิธี การดูแลสัตว์เลี้ยงตัวจิ๋วนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแค่ดูแลเอาใจใส่ให้สัตว์เลี้ยงร่าเริง มีสุขภาพที่แข็ง ความน่ารักของเจ้าเม่นแคระก็จะทำให้คนเลี้ยงมีความสุขได้ทุกวัน แม้ว่าหลายๆคนจะไม่เคยเลี้ยงเม่นแคระมาก่อน เชื่อว่าหลังจากที่อ่านข้อมูลดีๆเหล่านี้แล้ว ทุกคนจะเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ดีได้แน่

อ้างอิง

[1] wikipedia. (January 4, 2023). เฮดจ์ฮอก. Retrieved from wikipedia

[2] kapook. (March 27, 2023). วิธีเลี้ยงเม่นแคระ เจ้าตัวกลมขนหนาม ที่ดูแลง่ายกว่าที่คิด. Retrieved from kapook

[3] animalspacehospital. (2024). 10 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเลี้ยงเม่นแคระ. Retrieved from animalspacehospital

เฟนเน็คฟ็อกซ์ หรือ หมาป่าตัวจิ๋ว หรือ จิ้งจอกทะเลทราย หรือหมาป่าเฟนเน็ค เป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็กน่ารัก ขนฟู มีใบหน้าเล็ก และมีใบหูใหญ่ ครบสูตรความน่ารัก หากใครชื่นชอบสุนัข ไม่ควรพลาดเรื่องราวของจิ้งจอกทะเลทรายตัวนี้ ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความน่ารักอย่างนั้น มีเสน่ห์น่าดึงดูดจนเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้ใจคนทั้งโลก

เฟนเน็คฟ็อกซ์ มาดูความน่ารักของจิ้งจอกตัวน้อยแห่งประเทศอียิปต์

จิ้งจอกทะเลทราย เฟนเน็คฟ็อกซ์ (Fennec Fox) เป็นสัตว์ที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบทะเลทรายประเทศอียิปต์ ซึ่งมีขนาดตัวเล็กมากๆ ตัวเต็มวัยประมาณ 14-15 เซนติเมตรเท่านั้น น้ำหนักตัวโดยรวมประมาณ 1 กิโลกรัม น้ำหนักตัวพอๆกับปอม หรือ ชิวาวา เจ้าหมาตัวเล็กที่บ้านเราชอบเลี้ยงกัน

สุนัขจิ้งจอกพันธุ์นี้ได้รับความนิยมมากขึ้น ดูหน้าตาน่ารัก ใบหน้าเล็กๆ หูโตๆ ขนฟูฟ่อง หากใครชื่นชอบสุนัขอยู่แล้ว รับรองว่าคุณจะหลงรักจิ้งจอกทะเลทรายตัวนี้อย่างแน่นอน 

รูปลักษณ์ของเฟนเน็คฟ็อกซ์น่ารักเกินต้าน

ด้วยความที่เฟนเน็คฟ็อกซ์เป็นสัตว์ขนาดเล็ก มีความเป็นสุนัขจิ้งจอกและความตะมุตะมิในตัว มีขนสีน้ำตาลอ่อนๆ จึงทำให้หลายๆคนตกหลุมรักเจ้าสุนัขจิ้งจอกทะเลทรายตัวนี้ ด้วยใบหน้าแหลมเล็กตามแบบฉบับสุนัขจิ้งจอก ขนหนาฟูน่าฟัด และใบหูที่ใหญ่ จึงทำให้เหมือนตุ๊กตาตัวน่ารักๆ ที่ออกมาวิ่งเล่นซุกซนให้เราได้เห็น

รูปลักษณ์น่ารักเกินต้าน

สำหรับใบหูที่ใหญ่ของจิ้งจอกทะเลทรายตัวนี้ มีไว้สำหรับฟังเสียง แม้แต่เสียงแมลงตัวเล็กๆก็ได้ยิน และการสื่อสารต่างๆสามารถได้ยินไกลถึง 5 กิโลเมตร และยังระบายความร้อนได้ด้วย

ลักษณะนิสัยโดยรวมของเฟนเน็คฟ็อกซ์ที่คุณต้องรู้

สุนัขจิ้งจอกตัวจิ๋วเฟนเน็คฟ็อกซ์จะมีอุปนิสัยคล้ายๆกับ แมวผสมหมา มีความฉลาด ว่องไว คล่องแคล่ว ซุกซน ขี้ระแวง บ้าพลังเหมือนสุนัขทั่วไป และมีความเป็นแมว บางทีก็ชอบอยู่ตามลำพังไม่อยากให้ใครมายุ่ง นิสัยสลับกันไปมา ซึ่งถือว่าเป็นจิ้งจอกน้อยเจ้าอารมณ์ และการเห่าจะเสียงแหลมมาก แต่ด้วยความน่ารักจึงทำให้นิสัยต่างๆเป็นเรื่องรองไปเลย

นิสัยของเฟนเน็คฟ็อกซ์ที่คุณต้องรู้

จิ้งจอกทะเลทรายเป็นสัตว์ที่มีรักมั่นคง จะมีคู่แค่ครั้งเดียวตัวเดียวไปตลอด โดยเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด ไม่ชอบที่สกปรกและไม่ชอบให้เนื้อตัวเปอะเปื้อน ชอบวิ่งเล่นอาบแดด มีนิสัยชอบขุดและเป็นสัตว์นักล่าตามสัญชาตญาณ แม้แต่สัตว์มีพิษหรืองูต่างๆ จิ้งจอกตัวนี้ก็สามารถจัดการได้หมด [1]

การเลี้ยงดูเจ้าเฟนเน็คฟ็อกซ์สำหรับมือใหม่

สำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยเลี้ยงเฟนเน็คฟ็อกซ์มาก่อนไม่ต้องกังวลเลย เพราะการเลี้ยงดูสุนัขจิ้งจอกตัวจิ๋วนี้ไม่ยาก เหมือนที่เราเลี้ยงสุนัขทั่วไปใช้อุปกรณ์พื้นฐาน และเตรียมพื้นที่ไว้ให้เจ้าจิ้งจอกทะเลทรายตัวนี้อยู่อาศัย ซึ่งมาดูการเตรียมตัวขั้นพื้นฐานก่อนนำจิ้งจอกเฟนเน็คมาเลี้ยงกันเลย

สถานที่เลี้ยงเฟนเน็คฟ็อกซ์

ในการเลี้ยงสุนัขสักตัวหนึ่งต้องมีพื้นที่สำหรับเลี้ยง และเจ้าจิ้งจอกเฟนเน็คฟ็อกซ์เช่นเดียวกัน เราควรเตรียมสถานที่เตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ

ขึ้นชื่อว่าเป็นสุนัขถึงแม้จะเป็นจิ้งจอกพันธุ์เล็ก แต่ต้องการใช้พลังงาน ต้องการพื้นที่วิ่ง การปลดปล่อยความบ้าคลั่ง การเลี้ยงแบบปล่อย จะทำให้มีความสุขกว่าอยู่ในกรง หรือเลี้ยงแบบคอยกั้นสัดส่วนให้ดี เพราะน้องเป็นจิ้งจอกทะเลทราย ทนอากาศร้อนจัด และทนอากาศหนาวสุดได้ไม่ต้องห่วงเรื่องปรับตัว [2]

ของจำเป็นสำหรับเฟนเน็คฟ็อกซ์ที่มือใหม่ต้องเตรียม

เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงเฟนเน็คฟ็อกซ์อุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้และสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้มีดังนี้

จะเห็นได้ว่า การที่เราจะเลี้ยงจิ้งจอกเฟนเน็ค ไม่ได้ยากกว่าการเลี้ยงสุนัขทั่วๆไปเลย ให้เข้าใจพฤติกรรมและนิสัยน้อง และการจัดพื้นที่ที่เหมาะสม มือใหม่ก็สามารถเลี้ยงจิ้งจอกทะเลทรายได้อย่างสบายๆ

สรุป เฟนเน็คฟ็อกซ์ มือใหม่ก็สามารถเลี้ยงได้

สำหรับสุนัขจิ้งจอก เฟนเน็คฟ็อกซ์ เป็นจิ้งจอกทะเลทรายที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และมีอายุพอๆกับสุนัขพันธุ์อื่นๆเลย ซึ่งตัวจิ้งจอกเฟนเน็คจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 15 ปี หากรับมาเลี้ยงแล้วต้องดูแลให้ดีไม่ทิ้งขว้าง เพราะค่าตัวน้องก็หลักหมื่น วิธีการเลี้ยงนั้นไม่ยาก เลี้ยงได้เหมือนสุนัขพันธุ์อื่นๆเลย และสุดท้ายนี้ขอให้คนที่รับเลี้ยงมีความสุขกับเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายแสนน่ารัก

อ้างอิง

[1] petplease. (December 29, 2022). มาทำความรู้จักกับเฟนเน็คฟ็อกซ์ จิ้งจอกจิ๋วทะเลทราย!. Retrieved from petplease

[2] mgronline. (June 10, 2011). “เฟนเน็คฟ็อกซ์” คู่ละแสน! สุนัขจิ้งจอกสายพันธุ์จิ๋วที่สุดในโลก. Retrieved from mgronline

หมูแคระ หรือ เจ้าหมูไซซ์มินิ กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนที่กำลังมองหาสัตว์เลี้ยงที่มีความน่ารัก มีความขี้เล่นซุกซน ซึ่งจะมีทั้งหมูไซซ์เล็ก หมูไซซ์มินิ หรือหมูไซซ์จิ๋ว ซึ่งหมูชนิดนี้ไม่ใช่หมูสำหรับใช้เป็นอาหารหรือใช้กิน เป็นหมู่ที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงไม่ต่างจากการเลี้ยงหมา แมว หนูแฮมเตอร์ กระต่าย และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ และยังมีความน่ารักน่าหลงใหลจึงทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้น

หมูแคระ ได้รับความนิยมนำมาเลี้ยงมากขึ้นในปี 2024

สำหรับเจ้าหมูแคระตอนนี้นับได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงแสนน่ารัก ซึ่งมีขนาดตัวที่เล็กกว่าหมูไซซ์ปกติ โดยเจ้าหมูไซซ์มินิไม่ได้มีไว้เพื่อบริโภค ด้วยขนาดตัว ด้วยความน่ารัก ทำให้หลายๆคนตกหลุมรักเจ้าหมูไซซ์มินิไปเลย โดยนิยมเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเหมือนเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว เลี้ยงได้ทั้งในบ้าน และนอกบ้าน ซึ่งปัจจุบัน 2024 เจ้าหมูตัวจิ๋วได้รับความนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงมากขึ้น

มาทำความรู้จัก หมูแคระ หรือ Mini Pig

หมูแคระ หรือ Mini Pig เป็นหมูน้อยขนาดมินิ ตัวเต็มวัยจะมีความสูงประมาณ 1 ไม้บรรทัด หรือ 15 นิ้ว ตัวน่ารักๆ มีเนื้อสีชมพู จมูกสีชมพู ดวงตากลมโต เนื้อตัวไม่มีกลิ่นสาบ และมีสีขนต่างกันออกไปแล้วแต่พันของเจ้าหมูตัวแคระ

หมูแคระ

ขอบอกเลยว่าเอาหมูไซซ์มินิดาเมจแรงมากๆ ในการเป็นสัตว์เลี้ยงเจ้าหมูไซซ์เล็กสามารถนำมาฝึกให้รู้ความได้ ซึ่งมีความเป็นมิตร มีความเฉลียวฉลาด เลี้ยงง่าย แข็งแรง สร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้คนเลี้ยงได้อยู่เสมอๆ

หมูแคระ กินอะไรเป็นอาหาร

การเลี้ยงหมูแคระ กินง่ายอยู่ง่ายมากๆสามารถกินได้ทั้งอาหารหมูเม็ด ที่เน้นสารอาหารดีๆ การกินผัก กินผลไม้ รวมไปถึงนม สำหรับชนิดของอาหารกับปริมาณของอาหารจะขึ้นอยู่กับอายุของตัวหมู ซึ่งคนเลี้ยงต้องเลือกปริมาณอาหารให้พอเหมาะ ไม่ใส่อาหารเยอะเกินไป เพราะน้องหมูจะไม่รู้สึกอิ่ม จะเดินวนกินเรื่อยๆ กลายเป็นสารอาหารเกินได้

ของโปรดของเจ้าหมูตัวแคระส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวาน เน้นสารอาหารที่หลากหลายอาทิเช่น ผักกาด บรอกโคลี ผักสลัด แตงกวา แครอท ฟักทอง และผักใบเขียวต่างๆ ส่วนในเรื่องของผลไม้หมูตัวแคระของเรากินได้หลากหลายชนิด มะม่วง ชมพู่ แอปเปิล องุ่น และผลไม้อื่นๆ ที่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือ น้ำเปล่า เราจะเตรียมน้ำสะอาดไว้ให้น้องหมูกินอยู่เสมอๆ ไม่ให้ขาด [1]

เพื่อนซี้คู่ใจ “หมูแคระ” เลี้ยงง่าย ดีต่อใจ

สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของใครหลายๆคน หมูแคระ และยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ในบ้านเราก็นิยมเลี้ยงหมูไซซ์เล็กมากขึ้น เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่น เลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรด เลี้ยงไว้คลายเหงา และเลี้ยงไว้เป็นการขยายพันธุ์ ด้วยความน่ารัก ความขี้เล่น และรูปลักษณ์ที่ตะมุตะมิ

จึงทำให้หลายๆคนถูกเจ้าหมูตัวแคระตกได้อย่างไม่น่าแปลก หากใครโดนเจ้าหมูตัวจิ๋วทำดาเมจใส่ และอยากได้มาเลี้ยง อยากได้มาครอบครอง เรามาดูกันว่า ต้องเตรียมความพร้อมยังไง และต้องเตรียมค่าใช้จ่ายในการดูแลน้องหมูประมาณไหน มาอ่านในบทความนี้เลย

เตรียมความพร้อมในการเลี้ยง หมูแคระ

ก่อนรับหมูแคระเข้ามาอยู่ในความดูแล ผู้เลี้ยงทุกคนต้องมีการเตรียมตัวเตรียมความพร้อม เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงสักตัว ไม่ต่างจากการเตรียมตัวเลี้ยงหมาหรือการเตรียมตัวเลี้ยงแมว ซึ่งสำหรับเจ้าหมูตัวแคระก็จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวเตรียมความพร้อมเช่นกันดังนี้

หมูแคระ

ในการเลี้ยงเจ้าหมูตัวแคระไม่แตกต่างจากการเลี้ยงสุนัขหรือเลี้ยงแมว ซึ่งคนเลี้ยงต้องพาไปออกกำลังกาย พาไปเดินเล่น เอาใจใส่ และให้ความอบอุ่น มีเวลาเล่นกับหมูตัวแคระในทุกๆวัน เพื่อสุขภาพที่ดี อารมณ์ที่ดี และความใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง

รวมไปถึงฝึกความรับผิดชอบในตัวผู้เลี้ยงไปในตัว หากใครคิดว่าตัวเองทำได้และพร้อมที่จะดูแลเจ้าหมูตัวแคระ ก็สามารถรับน้องหมูเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวได้เลย [2]

ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยง หมูแคระ

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาหมูแคระ และอยากจะรับเลี้ยงน้องหมูมาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว วันนี้เราจะมาสรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆในการรับน้องหมูเข้ามาเป็นสมาชิกครั้งแรก จะต้องจ่ายเท่าไหร่แล้วต้องเสียอะไรบ้างมากันเลย

หากคุณต้องการจะนำสัตว์เลี้ยงสักตัวเข้าบ้านหรือนำมาเลี้ยง คุณต้องตัดสินใจให้ดีว่าไม่ได้ชอบแค่ประเดี๋ยวประด๋าว เราต้องมั่นใจว่าจะดูแลทั้งชีวิตของสัตว์เลี้ยงของเราและจนกว่าจะหมดอายุขัย ซึ่งหากว่าคุณชอบคุณต้องการเลี้ยงและสามารถดูแลได้จริงๆ เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนจะต้องคิดก่อนที่จะรับสัตว์เลี้ยงสักตัวเข้ามาอยู่ในบ้านนั่นเอง [2]

สรุป หมูแคระ ได้รับความนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงสูงขึ้น

ด้วยความน่ารัก ขนาดตัวเล็กกะทัดรัด ความสมส่วนในรูปทรง ความจมูกชมพู จึงทำให้ หมูแคระ ได้รับความนิยมมากขึ้น และตัวหมูยังมีความเฉลียวฉลาด สามารถสอนให้รู้ความได้สามารถฝึกได้ จึงทำให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ใครๆหลายคนต้องการ ไม่ต่างจากการเลี้ยงสุนัขหรือเลี้ยงแมว ด้วยองค์ประกอบต่างๆ และความน่ารักร่าเริงสดใส จึงทำให้เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของใครหลายๆคน

อ้างอิง

[1] kaset. (2024). แนะนำวิธีเลี้ยงหมูแคระให้โตเต็มวัย พร้อมสร้างรายได้จากการเพาะพันธุ์. Retrieved from kaset

[2] kapook. (2024). ทำความรู้จัก หมูแคระ เจ้าอู๊ดไซซ์มินิ สัตว์เลี้ยงที่หลายคนหลงรัก. Retrieved from kapook

เลี้ยงกบ เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่อยากแนะนำให้กับทุกคนได้รู้จัก เนื่องจากกบเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย โตไว มีรสชาติที่อร่อย อีกทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกมากมาย ในส่วนของขั้นตอนการเลี้ยงก็ทำได้แบบสบายๆ ไม่ว่าจะมีพื้นที่จำกัดแค่ไหน ก็สามารถเลี้ยงกบเพื่อใช้ประกอบอาหารกินเอง หรือเลี้ยงขายเพื่อสร้างรายได้ให้กับผู้เลี้ยงได้อีกทาง

เลี้ยงกบ สร้างรายได้เข้ากระเป๋า

ในปัจจุบันมีผู้ที่สนใจหันมาเลี้ยงกบกันมากขึ้น จากข้อดีหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นการลงทุนที่ใช้ต้นทุนต่ำ ไม่ต้องมีเงินเยอะก็ทำได้ รวมถึงตัวกบเองก็เป็นสัตว์ที่หาแหล่งเพาะพันธุ์ได้ง่าย การเลี้ยงดูก็ใช้ระยะเวลาไม่นาน สะดวกในการทำความสะอาดที่อยู่ของกบ หลังจากที่เลี้ยงโตแล้วก็สามารถจับขายได้ตลอด เพียงแต่ต้องเลือกสถานที่เลี้ยงให้เหมาะสม การเรียกเงินเข้ากระเป๋าจากการเลี้ยงกบก็ไม่ยากอีกต่อไป

เลือกเลี้ยงกบพันธุ์ไหนดีที่สุด?

หากอยากเลี้ยงกบให้ดีทำเงินให้กับคนเลี้ยง ต้องเลือกกบที่เหมาะสมต่อการเลี้ยง หากเลือกเลี้ยงผิดสายพันธุ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเลี้ยงอาจจะต้องขาดทุนกันไป และเพื่อให้คนที่อยากเลี้ยงสามารถเลือกพันธุ์กบได้อย่างเหมาะสม จำเป็นที่จะต้องรู้จักพันธุ์กบเสียก่อนว่ามีการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

เลี้ยงกบ

แนะนำการเลือกเลี้ยงกบต้องพันธุ์นี้เท่านั้น!

สำหรับการ เลี้ยงกบ ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพี่น้องเกษตรกรของเรา คือการเลือกชนิดของกบนาในการนำมาเลี้ยง ด้วยเหตุผลที่ว่าสามารถหาซื้อพันธุ์กบได้ง่าย เลี้ยงง่าย โตเร็ว และเนื้อมีรสชาติอร่อยมากกว่ากบพันธุ์อื่น ใช้เวลาในการเลี้ยงสั้น 4-5 เดือนก็จับขายได้ น้ำหนักดีอยู่ที่ประมาณ 3-4 ตัว/กิโลกรัม

เลี้ยงกบ

ส่วนของการเพาะพันธุ์กบเพื่อเลี้ยงต่อต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปีขึ้นไป เป็นกบที่สุขภาพแข็งแรงไม่มีโรค กบตัวเมียที่ใช้เป็นแม่พันธุ์น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 2-3 ขีด/ตัว การปล่อยกบพ่อพันธุ์ – แม่พันธุ์ ลงในบ่อสามารถเลือกปล่อยแบบ 1:1 หรือ 1:2 ก็ได้ จำนวนคู่ที่ปล่อยไม่ควรเกิน 5 คู่ ในกบแม่พันธุ์ 1 ตัว สามารถวางไข่ได้ 2,000 – 3,000 ฟอง [1]

วิธีการ เลี้ยงกบ เพื่อยังชีพและหารายได้

วิธีการที่ช่วยให้ผู้ที่เลี้ยงกบสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเตรียมพื้นที่เลี้ยง คือการลงมือทำเองให้มากที่สุดและเลือกรูปแบบการทำที่ทำง่าย รวดเร็ว จะส่งผลให้การเลี้ยงกบมีค่าใช้จ่ายที่น้อย หลังจากที่จับขายได้ก็จะได้กำไรที่มากขึ้น โดยในการเลือกทำบ่อสำหรับการเลี้ยงกบมีอยู่หลายแบบ หากเห็นว่าแหล่งที่อยู่ของผู้เลี้ยงสามารถทำแบบไหนง่ายกว่า ก็เลือกรูปแบบนั้นไปทำได้เลย

การเลี้ยงกบในรูปแบบที่ง่ายที่สุด

รูปแบบที่ได้รับความนิยมสำหรับการเลี้ยงกบมี 2 ประเภท ซึ่งประกอบด้วยการเลี้ยงในบ่อดินหรือบ่อซีเมนต์ และการเลี้ยงในคอนโด มีรายละเอียดการเตรียมดังต่อไปนี้

เทคนิคการเลี้ยงกบให้โตเร็วตัวใหญ่

อยากประสบความสำเร็จในการเลี้ยงกบ บอกเลยว่าแค่รู้เทคนิคนิดหน่อยๆก็ทำให้กบของเราโตเร็วตัวโตกว่าใครแล้ว โดยเริ่มจากการให้อาหารเราจะให้อาหารเพียงแค่ 1 ครั้ง/วัน โดยจะให้กินอาหารปลาดุกเม็ดเล็กเพื่อประหยัดต้นทุน หลังจากที่กบโตเต็มที่ก็เปลี่ยนเป็นอาหารปลาดุกเม็ดใหญ่ จำนวนอาหารที่ให้กินจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของกบ

แต่หากผู้เลี้ยงอยากให้อาหารเสริมกบ สามารถให้กินอาหารร่วมด้วยก็ได้ เช่น กุ้ง ปู หอย เป็นต้น และอีกสิ่งที่ไม่ลืมคือหมั่นเปลี่ยนน้ำทุกวัน เพื่อป้องกันการเกิดโรค และคัดแยกกบตัวที่ป่วยออกไปรักษา เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ [2]

สรุป การ เลี้ยงกบ ทำง่ายได้ทั้งกิน-ทั้งขาย

การ เลี้ยงกบ ในปัจจุบันนอกจากจะทำให้คนเลี้ยงมีเนื้อกบไว้ประกอบอาหารแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนจากการเลี้ยงชีพทั่วไป ให้กลายเป็นการหารายได้เสริมให้กับตนเองได้อีก และอาจกลายเป็นแหล่งทำเงินก้อนโตของทุกคนได้ โดยเริ่มจากการลงทุนหลักร้อย แต่ทำกำไรได้ไม่หยุด

อ้างอิง

[1] vigotech. ( 2024). การเลี้ยงกบ เพื่อเลี้ยงชีพ. Retrieved from vigotech

[2] baanlaesuan. (April 5, 2024). เลี้ยงกบในคอนโดยางรถยนต์ เลี้ยงง่าย ต้นทุนเพียงหลักร้อย. Retrieved from baanlaesuan

PGSLOT
หวย
บาคาร่า
กีฬา
โปรโมชั่น
สมาชิกใหม่รับโบนัส
แตกแจกเพิ่ม
ฝากแรกของวัน
กงล้อลุ้นโชค
ขาประจำ
ติดต่อเราLINE
pg168LINE ID : @vippg168PG168-line
pg168-ธนาคาร
Copyright © 2023 Supported by PG168
pg168LINE ID : @vippg168
PGSLOT
หวย
บาคาร่า
กีฬา
PG168-linepg168-ธนาคารCopyright © 2023 Supported by PG168
PG168-HOMEหน้าหลักPG168-Promotionโปรโมชั่นpg168PG168-RegisterสมัครสมาชิกPG168-EVENTกิจกรรม
line-pg168io